Thursday, August 13, 2009

เทศกาลโอบ้ง

เทศกาลโอบ้ง (O-bon)


ตรงกับวันที่ 13-15 สิงหาคมของทุกปี(บางพื้นที่เป็น 13-16 กรกฎาคม)


เป็นช่วงเวลาที่เชื่อกันว่า บรรพบุรุษที่ตายไปแล้วจะกลับมาจากนรกภูมิ เริ่มต้นจะมีการจุดไฟต้อนรับที่หน้าบ้าน ถวายผักบูชา มีการละเล่น และในวันสุดท้าย จะจุดไฟ โอคุริบิ (Okuribi) เป็นการส่งกลับวิญญาณบรรพบุรุษ


"โอบ้ง" นับว่าเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่สำคัญ จนไม่อาจที่จะขาดไปได้ของชาวญี่ปุ่นเลยทีเดียว ทุกๆ ปี ในเดือน 8 ( สิงหาคม ) นั้นจะเป็นเดือนที่ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษจะได้รับอนุญาตให้กลับมาเยี่ยม เยือนญาติพี่น้องและลูกหลานได้อย่างอิสระ คนญี่ปุ่นในทุกบ้านเรือนจะจัดสำรับกับข้าวพร้อมทั้งอาหาร คาวหวานและดอกไม้ขึ้นตั้งให้ไว้บนหิ้งหรือตู้ของบรรพบุรุษซึ่งมีชื่อเฉพาะ ว่า " บุสึดัง " เพื่อตอนรับ ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษของตน จุดประสงค์ก็เพื่อให้ได้พักผ่อน,ได้กินอยู่อย่างอิ่มหนำสำราญ และจะมีกำหนดระยะเวลาที่จะอนุญาตให้ดวงวิญญาณเหล่านี้อยู่ที่บ้านได้นานถึง เกือบหนึ่งเดือน แล้วจากนั้นถึงจะนำกลับไปส่งยังที่สุสานอย่างเดิม ซึ่งเป็นอันว่าเป็นการเสร็จพิธีการหรือจบการ ไหว้ในวันโอบ้ง

ที่มาหรือต้นตอของธรรมเนียมของ"โอบ้ง " นั้น เล่ากันต่อ ๆมาว่า.....เมื่อกาลก่อนเนิ่นนานที่ผ่านมาในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้านั้น เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดทั้งปวงในโลก...มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้มีบุรุษ ชื่อ " โมคุเรน " เป็น กำพร้ามารดาได้เสียชีวิตมานานหลายปี อยู่ต่อมาเขาเกิดศรัทธาในพระพุทธ ศาสนาจึงได้ออกบวช เป็นพระภิกษุ ทำการเพียรจิตสมาธิจนกระทั่งสามารถได้เห็นนรกและสวรรค์


ใน ครั้งหนึ่ง " พระโมคุเรน " ขณะที่ไปท่องอยู่ที่ใน นรกภูมิก็เกิดได้ไปพบและได้เห็นว่ามารดาของตนนั้น ต้องทนทุกขเวทนาอด ๆ อยากๆ อยู่ที่นั่น ท่านมีจิตเวทนา และนึกสงสารในผลกรรมอันแสนที่จะทารุณอันไม่จบสิ้นของมารดาเป็นอย่างมาก


วัน หนึ่ง" พระโมคุเรน " ได้มีโอกาสได้ไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้า เมื่อมีโอกาสจึงได้เล่าเรื่องราวที่ท่านไปเห็นมารดาที่ในนรกภูมิมา และยังกราบทูล ถามว่าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถที่จะช่วยหรือแบ่งเบาให้มารดาของตนนั้นคลายจาก ทุกขเวทนานี้เสียได้... พระพุทธเจ้าได้ทรงสดับรับฟังแล้วตรัสกับ" พระโมคุเรน " ว่า " ดูกรโมคุเรน ไม่ใช่ว่าจะคิด ช่วยแต่เฉพาะคนคนเดียว...ไม่ใช่ว่าจะคิดช่วยแต่แค่มารดาของตนแต่เพียงอย่าง เดียว...จงคิดช่วย ไปถึงบุคคลอื่น ๆ ทุกคนที่ได้ตายไปครั้งก่อน ๆ ที่ไม่ใช่ญาติของเราก็ตาม...ท่านจงอุทิศส่วน กุศลและแผ่เมตตาให้กับเขาเหล่านั้นทุกคนเสียด้วย..."


เรื่อง ราวของพระโมคุเรนนี้ จึงทำให้เกิดธรรมเนียม"โอบ้ง " ขึ้นในกาลเวลาต่อมา...ซึ่งก็มีจุดมุ่งหมายถึงการทำการต้อนรับ ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วให้กลับมาพักผ่อนที่บ้านได้และให้ได้ กินอย่างอิ่มหนำ สำราญ พิธีการต้อนรับดวงวิญญาณนั้นก็จะมีการจุดไฟเพื่อรับดวงวิญญาณกันที่ท่าน้ำ บ้าง, ที่หน้า บ้านของตนบ้าง, หรือไปรับกลับมาโดยตรงจากสุสานของตระกูลก็มี เป็นธรรมเนียมที่กระทำ กันต่อ ๆ มาจนถึงปัจจุบันนี้


เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเทศกาลโอบ้ง


· "โอบ้งมาซึรี " เป็นงานเลี้ยงฉลองต้อนรับดวง วิญญาณของบรรพบุรุษเพื่อให้เกิดความครื้นเครงรื่นรมย์หรรษาในขณะที่ได้กลับ มาที่บ้านของตน งานจะเป็นเหมือนหรือคล้าย ๆ กับงานวัดของไทยเรานี่เอง ด้วยจะมีการตีกลอง และจะเต้นรำไปรอบ ๆ ชั้นที่สร้างเป็นห้างอยู่กลางงานเด็ก ๆ และผู้ใหญ่ก็จะ ใส่ชุด " ยูกาตะ" ( ชุดกิโมโนหน้าร้อน ) ในงานจะมีเสียงเพลงบรรเลงอยู่ตลอดเวลาสร้าง บรรยากาศให้สนุกสนานและครื้นเครงได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว งานนี้จะมีกำหนดระยะเวลา ถึงเกือบหนึ่งเดือนเต็ม ๆ แต่จะจัดสลับกันไปในหลาย ๆ ที่ จนทั่วทั้งเมือง และในหนึ่งงานนั้น จะจัดกันประมาณ 3-4 วันเป็นอย่างน้อย


· "โชเรียวอุมะ" จะเป็นชื่อของมะเขือม่วง และ แตงกวา ที่ได้ใช้ตะเกียบหรือไม้ไผ่นำมาเหลาให้เล็ก ๆ แล้วนำไปเสียบให้เป็นขาสี่ขา สันนิษฐานตามความเชื่อถือกันมาแต่สมัยโบราณว่า "มะเขือม่วงนั้น"เปรียบเป็น " ม้า " และ "แตงกวา"ก็จะเปรียบเป็น " วัว " เชื่อกันว่าวิญญาณหรือผีของญี่ปุ่นนั้นจะไม่มีขา ว่ากันว่าเมื่อตายลงไปก็จะโดนตัดขาทิ้งเสียนั่นเอง ดังนั้นวิญญาณเหล่านี้จึงจะต้องมีหรือจะต้อง ใช้สิ่งสองสิ่งนี้เป็นที่นั่งและที่วางสัมพาระต่าง ๆ ของตนบรรทุกกลับมาสู่บ้านนั่นเอง...

· "มุไคเอฮี" เป็นการก่อกองไฟหรือจุดคบ ไฟมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ดวงวิญญาณของบรรพบุรุษที่ได้กลับมานั้นได้เดินทาง สะดวกทั้งขามาและ กลับ เพื่อไม่ให้หลงทางไปทางไหน....ตัวอย่างเช่น การก่อคบไฟให้เป็นรูปตัว อักษรของคำว่า "ได" ซึ่งจะกระทำขึ้นทุก ๆ ปีที่วัด "ไดม่อนจี่ซามะ" ซึ่งเป็นวัดที่ มีชื่อเสียงของเมืองโอซาก้า เป็นคบไฟที่แสดงเตรื่องหมายของการรับกลับและไฟของการส่ง วิญญาณ ซึ่งธรรมเนียมการจุดคบไฟของวัดนี้ได้กระทำสืบเนื่องกันติดต่อกันมาตั้งแต่ใน สมัย เอโดะ เป็นการก่อคบไฟบนภูเขาที่มีชื่อเสียงมาก

http://frevaras.exteen.com/20061205/entry

ไหว้บรรพบุรุษรำลึกผู้ล่วงลับ

ไหว้บรรพบุรุษรำลึกผู้ล่วงลับ

ปฏิทินเดือนเมษายนนอกจาก จะมีตัวเลขสีแดงบอกแจ้ง วันสงกรานต์ ในปฏิทินยังปรากฏอักษรบ่งบอกถึง วันเช็งเม้ง เทศกาลที่มีความหมายซึ่งปีนี้เวียนมาถึงอีกครั้ง




เช็งเม้ง หมายถึงฤดูกาลซึ่งฤดูกาลของชาวจีนแบ่งเป็น 4 ฤดูกาลใหญ่ ได้แก่ ใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เทศกาลเช็งเม้งอยู่ในช่วงปลายของฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูกาลย่อยซึ่งช่วงเวลานี้ อากาศจะสดชื่นคลายจากความหนาวเย็นเริ่มเข้าสู่อากาศอบอุ่น ท้องฟ้าจะสว่างสดใส อ.เศรษฐพงษ์ จงสงวน สถาปนิก นักวิชาการอิสระผู้ศึกษาวัฒนธรรมจีนเริ่มบอกเล่า พร้อมให้ความรู้ถึง ประเพณีเช็งเม้ง ที่ มีความหมายความสำคัญเป็นธรรมเนียมการไหว้บรรพบุรุษแสดงความเคารพกตัญญูของ ลูกหลานจีน รวมทั้งชาวไทยเชื้อสายจีนซึ่งถือปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน

ในการกำหนดปีของชาวจีนจะใช้พระอาทิตย์เป็น สิ่งกำหนด ซึ่งการโคจรของดวงอาทิตย์หนึ่งวงรอบ 360 องศา ชาวจีนจะแบ่งเวลาเป็นช่วงละ 15 องศาเป็นหนึ่งฤดูกาลย่อย ซึ่งการแบ่งฤดูกาลอย่างนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรที่ทำการเกษตรกรรม อย่างถ้าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่หิมะตก อากาศร้อน แมลงออกจากการจำศีล ฯลฯ การแบ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่บอกให้ได้ทราบและเช็งเม้งก็เป็นหนึ่งในฤดูกาล แบบนี้ โดยเช็งเม้ง หมายถึงความสว่างสดใส

“ในความสดใสนั้นหมายความว่า อากาศจะเริ่มคลายจากความหนาวและค่อยอุ่นขึ้นจนถึงอากาศร้อนในฤดูร้อน ซึ่งอากาศสดใสก็จะมีความเย็นกว่าฤดูร้อนทำให้เหมาะแก่การออกนอกบ้าน เหมาะแก่การเริ่มทำการเกษตรกรรม ต่างจากช่วงตรุษจีนซึ่งเป็นช่วงที่หนาวจึงเป็นการเริ่มตระเตรียมการทำนา พอถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะเริ่มทำนาปักดำ หลังจากปักดำได้ถึงช่วงเช็งเม้งก็จะเป็นช่วงที่มีฝนตกพรำเริ่มมีแสงแดดอุ่น ซึ่งจากนี้ไปก็จะเริ่มเข้าหน้าร้อนจะเริ่มมีพืชแตกยอดอ่อน ผลิดอกก็จะเป็นวงจรไป”

ทีนี้เช็งเม้งพอเป็นเรื่องของฤดูกาลแล้ว ในความเข้าใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือช่วงเวลาที่ชาวจีนจะออกไปเซ่นไหว้ที่สุสาน ซึ่งการเซ่นไหว้ที่เกิดขึ้นจะมีด้วยกัน 2 ครั้งคือ ในช่วงเวลานี้ฤดูใบไม้ผลิ และในช่วงฤดูหนาว โดยช่วงฤดูหนาวจะอยู่ในราววันที่ 22 เดือนธันวาคม ซึ่งสองช่วงเวลานี้จะเป็นโอกาสที่เซ่นไหว้สุสาน แต่บางท้องถิ่นช่วงอากาศหนาวไปไม่ได้ก็จะถือช่วงเช็งเม้งเป็นหลัก

“ช่วงเวลานี้ในประเทศไต้หวัน ประเทศจีนจะเรียกว่า เส้าหมอ หรือ การเก็บกวาดสุสาน ซึ่งจะไม่ค่อยเรียกว่า เช็งเม้ง ก็จะไปทำความสะอาดและเซ่นไหว้ซึ่งการแสดงความเคารพระลึกถึงบรรพบุรุษใน เทศกาลนี้ชาวจีนบางถิ่นเรียกการเซ่นไหว้สุสานว่าก้วยจั้ว แปลว่าแขวนกระดาษ เพราะเมื่อเซ่นไหว้และเผากระดาษเสร็จแล้วต้องนำกระดาษสี 5 สีที่ตัดเป็นแถบยาววางไว้ที่บนป้ายจารึกหน้าสุสาน และโปรยไว้บนเนินดินสุสาน เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าลูกหลานได้มาเซ่นไหว้แล้ว หากครอบครัวไหนไม่ได้เก็บศพบรรพบุรุษไว้ที่สุสานหรือมีบรรพบุรุษอยู่ไกลที่ ประเทศจีนก็จะตั้งไหว้ที่บ้าน ครอบครัวไหนเก็บกระดูก ป้ายวิญญาณไว้ที่วัด ก็จะมาเซ่นไหว้กันที่วัด”

การเซ่นไหว้เครื่องเซ่นไหว้นอกจากจะมีอาหารคาว หวาน ผลไม้ ฯลฯ อะไรก็ได้ตามความเหมาะสม ความต้องการของลูกหลาน แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นที่นิยมเป็นขนมคู่เทศกาลนี้จะมีการไหว้ ขนมจือชังเปี้ย ซึ่งเป็นขนมเปี๊ยะอย่างหนึ่งข้างในจะใส่ต้นหอมโดยมีทั้งแบบอบกรอบ และแบบนิ่ม ขนมชนิดนี้จะทำเฉพาะเทศกาลเช็งเม้งเท่านั้นเป็นของชาวจีนแต้จิ๋วซึ่งคนจีน ถิ่นอื่นจะไม่ค่อยใช้ นอกจากนี้การเซ่นไหว้ของประเพณีนี้จะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองร่วมด้วย

“โดยปกติ กระดาษเงิน กระดาษทอง จะคู่กับการเซ่นไหว้ซึ่งในการไหว้บรรพบุรุษ จะใช้เช่นเดียวกันจะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองส่งไป รวมทั้งมีเครื่องกระดาษที่เป็นสิ่งของเครื่องใช้และในเวลานี้มีหลาก หลายรูปแบบ ซึ่งเครื่องใช้อุปโภคบริโภค จะเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและคาดว่าจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อย่างพาหนะ แต่เดิมเป็นเกี้ยว เป็นรถม้า แต่ปัจจุบันเป็นรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ คันเล็กคันใหญ่ก็สุดแท้เหมาะแก่สถานะของผู้ซื้อ เครื่องบิน บัตรเครดิต โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ วีซีดี บ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม พัดลม ฯลฯ ก็จะถูกเผาส่งไปให้แก่ผู้ล่วงลับ

แต่ ที่จะขาดไม่ได้ต้องมีเสื้อผ้าซึ่งช่วงเวลานี้ถือเป็นโอกาสที่ส่งเสื้อผ้าไป เปลี่ยนให้แก่ท่านก็ส่งเป็นเสื้อผ้ากระดาษไปให้ก็จะมีทั้งแบบจัดเป็นห่อเป็น ชิ้น ๆ ซึ่งเสื้อผ้าจะมีการจัดแบ่งไว้ชัดเจนมีทั้งเสื้อผ้าแบบผู้ชายและผู้หญิง”

ขณะที่ประเทศไทยมีเทศกาลเช็งเม้งประเทศเพื่อนบ้านที่รับวัฒนธรรม จีนก็มีเทศกาลนี้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น ฯลฯ ก็จะเก็บกวาดสุสาน ไหว้บรรพบุรุษซึ่งจะอยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน แต่อาจจะมีต่างกันไปบ้างอย่างในเมืองไทยจะมีการไหว้บรรพบุรุษเช็งเม้งก่อน วันจริง ขณะที่ชาวจีนอาจจะทำหลังวันเช็งเม้ง

แต่อย่างไรก็ตามประเพณีที่มีความหมายความสำคัญนี้เป็นช่วงเวลาอันดีที่ครอบ ครัวจะได้กลับมาพบเจอได้ทำบุญระลึกถึงญาติผู้ล่วงลับร่วมกันและขณะที่ทุก เทศกาลแต่ละปีจะหมุนเวียนผ่านมา นอกจากความหมายความสำคัญของเทศกาลนี้ที่แสดงถึงความเคารพกตัญญูระลึกถึงผู้ ล่วงลับ

อีกด้านหนึ่งยังเป็นเสมือนกุศโลบายแยบยลของคนโบราณที่คิดในเรื่องวัฒนธรรม ประเพณีเป็นสิ่งที่แฝงไว้ให้เรียนรู้ถึงกาลเทศะซึ่งมีความสำคัญ

“กาลเทศะเป็นการแสดงให้เห็นว่าถึงช่วงเวลานี้ควรที่จะต้องทำอะไร เป็นการเตือนตนในการดำเนินชีวิตซึ่งไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไร วางตัวอย่างไรหากรู้จักกาลเทศะก็ช่วยให้รู้จักตัวตนของตัวเอง รู้หลักการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า มีสติ ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง รุ่งเรือง” อาจารย์ท่านเดิมกล่าวทิ้งท้าย

จากคุณค่าความหมายของประเพณี การไหว้บรรพบุรุษ เช็งเม้ง ช่วงเวลานี้เป็นอีกโอกาสอันดีที่จะแสดงความเคารพทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ญาติ ผู้ล่วงลับ อีกทั้งยังเป็นการทบทวนการดำเนินชีวิตอีกร่วมด้วย.


ที่มา: http://astro.popcornfor2.com/horoscope/fengshui_detail.php?id_=0163170712200855I&start=0&dataPerPage=12

Tuesday, June 30, 2009

Farewell Dr.Att and Mr.Chan

20/06/09

Tadaima ^^" กลับมาจาก home stay บ้านพี่กุ้งสู่สังคมนักเรียนอีกครั้งครับ ^^"

แน่นอน ... กลับมา พอเจอคนอื่นๆ ก็ต้องโดนแซวเป็นของธรรมดาครับ ... ชินแระ ... ผมก็รีบขึ้นห้อง เอาของเก็บ จากนั้นก็เตรียมกล้องลงมาเป็นเสมือนหน้าที่เลยก็ว่าได้ครับ :)

งานเลี้ยงวันนี้เป็นงานเลี้ยงอำลาพี่อรรถที่จะกลับไทยแล้ว และจันทร์ที่จะย้ายแลปไปอยู่ที่ชิสุโอกะ รวมถึงแสดงความยินดีกับพี่อรรถที่จบเป็น ดร. แล้ว ^^"

อาหารคราวนี้ เราทำคล้ายกับคราวที่แล้ว (ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ สูตรตาเล้ง) นั่นคือ เกี๊ยวน้ำต้มยำ สูตรตาเล้ง นั่นเอง ^^" อร่อยเหาะเช่นเดิมครับ


สรุป ... ก็เป็นอีกคนที่มีความสุข ความยินดี และความคิดถึง รวมๆ กันครับ

Miss Seminar !!!

18/06/09

พอดีรันงานไว้ที่แลป และต้องกลับมาเอาไฟล์เพื่อไปรันต่อที่ notebook ตอนเย็นประมาณ 6 โมง

... เข้าแลปด้วยความเร่งรีบ ... นั่ง copy file สักพัก ... advisor ก็เข้ามาซะงั้น :| ... ผมงี้ตกใจเลย ...

... อ๊ะ ... อาจารย์ ? แล้ว ... ? ... อยู่ ? ... แล้ว ... เกิด ... ? ... สรุป ... สัมนา ... ? มี / ไม่มี ? ...

แล้วอาจารย์ก็ถามแบบยิ้มๆ ครับว่าวันนี้คุณขาดน้า ... ผมคิดว่าคุณคงจำสลับกับอาทิตย์หน้าที่ผมไม่อยู่กระมัง (แปลเป็นไทยน่าจะได้ประมาณนี้ครับ) ... อาจารย์ก็ปิดท้ายด้วยว่า ... ไม่ต้องกังวลหรอก ... ผมไม่ว่าอะไร T_T ... นั่นดิ ... ผมก็ต้องยิ่งกังวลเป็นธรรมดา ... เง้อ

ผมก็เลยยอมรับตรงๆ เลยว่า ... ครับ ... ผมจำสลับจริงๆ (ไม่ได้โกหกด้วย) T_T

พอ copy เสร็จ ก็รีบลงไปหาพี่กุ้ง แล้วก็เล่าให้ฟัง ... จากนั้นก็กลับครับ ... อ้อ ... มาที่มหาวิทยาลัยรอบนี้กลับมาเอาเสื้อผ้าด้วยครับ ... แหะๆ ^^"

HOME Stay บ้านพี่กุ้ง

16 - 20 /06/09

รอบนี้เป็นการพักกับคนไทย (พี่กุ้ง) ครับ ^^"

ระยะเวลาการพัก ... ตั้งแต่วันอังคาร - วันเสาร์เย็น ครับ

ในระหว่างที่พักอยู่ที่บ้านพี่กุ้ง ผมก็ remote เข้ามาทำงานที่แลปอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน ... เพียงแต่ตัวไม่เข้าแลป ^^" ทำให้งานที่แก้ๆ อยู่เดินสม่ำเสมอครับ

อีกงานที่ทำก็เป็น การทำเว็บให้อาจารย์วารินทร์ขึ้นอีกอัน เอาไว้ที่ http://www.arjarnwarin.net/main ซึ่งยังไม่ได้เปิดตัว ... ผมกะว่า ไว้ผมกลับไทย แล้วได้ข้อมูลเพียงพอก่อน ผมจะเปิดเว็บนี้ขึ้นอีกรอบครับ ... ตอนนี้ก็ใช้ที่ google ไปพลางๆ ก่อนล่ะกันครับ ^^"

ในระหว่างที่พักบ้านพี่กุ้ง พี่กุ้งก็เลี้ยงดูเป็นอย่างดีครับ ... ดูเหมือนผมจะอ้วนๆ ขึ้นด้วย T_T ... วันๆ ก็กินกับนอน ... อ่านหนังสือธรรมะบ้าง ... เหมือนกับว่าเป็นบ้านให้เก็บอารมณ์การปฏิบัติธรรมดีเหมือนกันครับ ... รู้สึกเย็นในใจและกายขึ้นเรื่อยๆ ^^"

ผมก็ยังอายๆ และเกรงใจมีน่าลูกสาวพี่กุ้งอยู่เหมือนกันครับ ... แหะๆ ... เนี่ย ... ถ้าพูดญี่ปุ่นปร๋อ ... ผมคงคุยอยู่นา ... แต่ติดที่ยังไม่คล่อง ยังอายนี่แหละครับ :'(

จนวันศุกร์นู่น ถึงมีเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยโทรมาชวนปาร์ตี้ ... และก็เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ได้เข้าปาร์ตี้ ... เป็นห่วงกันใหญ่เลยครับ ... ผมก็เลยบอกว่า พัก home stay อยู่ที่บ้านพี่กุ้งครับ ... ทุกท่านก็เข้าใจครับ ... เหอะๆ

เนื่องจากวันเสาร์ มีงาน Farewell พี่อรรถ กับ จันทร์ ก็เลยต้องขอรบกวนพี่กุ้งมาส่งตอนเที่ยงๆ หลังทานข้าวกับเพื่อนสาวญี่ปุ่น (ฮารุน่า) ที่บ้านพี่กุ้งครับ ^^"


สรุป ... พักที่บ้านพี่กุ้งแล้วมีความรู้สึกเย็นกายเย็นจิตดีครับ ... เหมาะกับปฏิบัติธรรมดีด้วยครับ ^^"

ราเมงมื้อเที่ยง

16/06/09

วันนี้เที่ยงพี่กุ้งนัดไปทานราเมงที่ร้านไกล้ๆ ซังกิครับ ... เป็นอีกรอบที่พี่กุ้งโทรตามครับ ... เพิ่งตื่นอีกแระ ... แหะๆ

ช่วงนี้เป็นอะไรไม่รู้เหมือนกันครับ ... มีความรู้สึกไม่ค่อยอยากจะทำงานเท่าไหร่นัก เป็นเบื่อๆ แล้วถ้านอนตื่นขึ้นมาเนี่ยก็จะเพลียๆ งัวเงียอยากจะนอนต่อลูกเดียว งานการก็ไม่ค่อยเดินด้วย ... ดีที่อาทิตย์นี้สัมนาไม่มี ^^" จะได้แก้งานเดิมๆ ให้ดีๆ หน่อยครับ

พอถึงเวลา ... ผมกับพี่กุ้งก็ไปทานราเมงร้าน โอคิยะ ครับ ... สั่งแบบธรรมดากับเกี๊ยวซ่า ^^"


ก็อร่อยดีครับ ... แต่ตามสไตล์คนไทยทาน ... ช้ามั่กๆ ... ฮ่าๆๆ

หลังจากทานเสร็จพี่กุ้งชวนไปเล่นที่บ้านครับ ... ผมก็เลยขอกลับไปที่ห้องเพื่อกลับไปเอาเครื่องมือทำมาหากินก่อน ... จากนั้นก็ไปที่บ้านพี่กุ้งครับ

ว่าแต่ ... วันนี้พี่กุ้งก็ชวนพักค้างคืนเลย T_T ... ผมก็เห็นว่าอาทิตย์นี้ไม่มีสัมนาก็เลยรับปากพักค้างคืน ... แต่เสื้อผ้าไม่มี แฟนพี่กุ้งก็ให้ใช้ก่อนครับ ...

สรุป ... วันนี้ก็ไปทำงานบ้านพี่กุ้ง แล้วก็พักค้างคืนเลย ... เหอะๆ ... ผมก็เลยว่า ไหนๆ ก็มาใช้ network ใหม่แระ ก็ขอทำเว็บอาจารย์วารินทร์ใหม่ด้วยซะเลย ^^"

ดูบัลเล่ต์ ^^"

13/06/09

วันนี้นัดไปดูบัลเล่ต์ที่ shi ครับ ^^"

ซึ่ง ... เราก็นัดกันไปทานข้าวเที่ยง + เย็นที่ APITA ร้านบุฟเฟ่ต์อาหารฝรั่ง ก่อนไปดูบัลเล่ต์ครับ ^^"

สมาชิกที่ไปกันวันนี้ก็มีผม, อ.ฉัตร, พี่จั๊บ, พี่แม็ก, พี่มู, น้องป๊อป ... ปั่นจักรยานรวมกันหกคนครับ

ทานเสร็จก็ออกจาก Apita ครับ ... แต่ ... โชคไม่ค่อยดีที่จักรยานที่น้องป๊อปปั่น (จักรยานพี่เดียร์) คันนึงยางระเบิด ตัดสินใจคุยกันนานทีเดียวว่าจะกลับหรือจะไปดูบัลเล่ต์กันต่อ T_T

ซึ่ง ... เอาไปเอามาก็เลือกที่จะปั่นบดยางไปครับ ... เพราะไหนๆ ยางก็ระเบิดไปแล้ว T_T ... ซึ่งก็ปั่นไปได้ดีทีเดียวครับกับความสามารถของน้องป๊อป ^^"

เราไปถึง shi ทันเวลาเปิดเข้างานพอดีครับ ... แล้วก็ได้ชมกันอิ่มหนำสำราญขอรับ ^^"

โดยส่วนตัวผมชอบและประทับใจทีเดียวครับ ... เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้ชมการเล่นบัลเล่ต์ครับ ^^"

จากนั้นพวกเราก็ปั่นจักรยานกลับกันโดยสวัสดิภาพขอร้าบบบบบ

อองเซ็นธรรมชาติ

12/06/09

วันนี้วันศุกร์ ... พอดีแฟนพี่กุ้งเค้าหยุดไม่ได้ไปทำงานวันศุกร์ ก็เลยชวนไปลงอองเซ็นแบบธรรมชาติที่ต่างเมืองครับ ^^"

ซึ่ง ... ผมก็ชวนๆ เพื่อนๆ อยู่เหมือนกัน ... แต่เนื่องด้วยว่าเป็นวันศุกร์ หลายๆ คนจึงไม่สามารถไปได้ ... ก็มีแต่ผมเท่านั้นแหละที่ว่างได้ทุกวันซะงั้น ... เหอะๆ

นัดกับพี่กุ้งตอน 10 โมงเช้าครับ ... ก็ตื่นตอนที่พี่กุ้งโทรมาเลยเหมือนกัน T_T แย่จัง ... อายด้วย ... ก็เมื่อคืน เล่นซะเมาระดับนึง ดึกอีกด้วย ... ตื่นไม่ไหวอ่ะจิ ... พอลุกขึ้นก็แปรงฟัน แล้วก็รีบวิ่งลงไปสวัสดีครับ

สถานที่ไป เป็นอองเซ็นธรรมชาติ ท่ามกลางธรรมชาติ ล้อมรอบไปด้วยภูเขาครับ

ก่อนลงอองเซ็น ... พี่กุ้งกับแฟนพี่กุ้งก็พาทานข้าวเช้า + เที่ยง และผ่อนคลายก่อน แล้วค่อยไปลงอองเซ็นครับ

พี่กุ้งเตรียมผ้าเช็ดตัวมาให้ด้วยครับ ^^" ... จากนั้นก็แยกย้ายไปลงอองเซ็นครับ ... ผมไปกับแฟนพี่กุ้ง ... รอบนี้จะได้เรียนรู้การลงอองเซ็นสไตล์ญี่ปุ่นแล้วคร้าบ ^^"

ขั้นแรกก็เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า ต้องชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อนครับ ... ถูสบู่, สระผม ให้เรียบร้อย

จากนั้นก็ไปลงอ่างครับ ... เริ่มจาก เอาขาค่อยๆ ลงไปก่อน ... ขั้นตอนนี้ต้องค่อยๆ หน่อยนะครับ เพราะต้องให้ร่างกายค่อยๆ ปรับสภาพกับน้ำร้อนก่อน ... แล้วก็ค่อยๆ หย่อนตัวลงแช่น้ำร้อนครับ ^^"

ผ้าขนหนูที่เอาเข้าไปด้วย ห้ามเอาลงในอ่างด้วยนะครับ ... ลงไปได้แค่ตัว ... จากนั้นก็ลงแช่ประมาณ 10 นาทีก็พอครับ ... อ่างที่ผมไปแช่เป็นอ่างไม้แล้วก็น้ำร้อนจากใต้ดิน กลิ่นน้ำร้อนกับกลิ่นไม้ ช่วยเรื่องบรรยากาศได้ดีจริงๆ ครับ ... สดชื่นนนน ^^" แถมเป็นอ่างที่อยู่นอกห้องด้วยครับ

หลังจากแช่ได้ประมาณ 10 นาทีก็ลุกขึ้นจากอ่างมาชมนกชมไม้ครับ ... ซึ่งแฟนพี่กุ้งก็สอนภาษาญี่ปุ่นให้กับผมด้วยเหมือนกันครับ ... ^^" ... สอนศัพท์ครับ ... จากนั้นก็เข้าห้องซาวน่าร์ ประมาณ 5 นาทีครับ

จากนั้น ... ก็ออกมาแช่น้ำเย้นเย็นขอรับ ... เพื่อให้รูขุมขนที่เปิดเนื่องจากการแช่น้ำร้อนให้ปิดสนิทครับ ^^"

แฟนพี่กุ้งยังพาไปล้างตัวอีกรอบก่อนลงแช่อีกรอบเช่นกันครับ ... ซึ่งผมก็ไปล้างตัว แล้วลงไปแช่อีกรอบ แล้วก็ขึ้นครับ ... เช็ดตัวแล้วก็แต่งตัว

หลังจากแช่น้ำร้อนเพื่อผ่อนคลายทางร่างกายเสร็จแล้ว ก็ขึ้นไปนอนเพื่อผ่อนคลายทางด้านจิตใจให้สบายและสงบครับ ^^" ซึ่งพี่กุ้งก็เอาหนังสือธรรมะไปให้อ่านด้วย ... ผมก็อ่านไปแล้วก็คล้อยหลับครับ :D

ตื่นอีกทีก็เกือบๆ ห้าโมงเย็นครับ ... จากนั้นก็ไปทานน้ำชา แล้วก็เดินทางกลับ ซึ่งผมได้ซื้อบวบกับหน่อไม้ฝรั่งไปฝากพี่เดียร์ เพราะเห็นว่าราคาถูกดีครับ ^^"

วันนี้ข้าวเย็นทานที่บ้านพี่กุ้ง แล้วก็กลับมหาลัยตอนสองทุ่มเข้าปาร์ตี้วันศุกร์เช่นเคยที่ห้องพี่เดียร์คร้าบ ^^"

จบข่าว ... ^^"

Farewell Josef

11/06/09

มะ ... พอเสร็จงานติวเตอร์ ... ก็เดินตะลอนๆ ไปที่ SECOM HALL เพราะหลังๆ มานี้ จัดงานปาร์ตี้กันที่ SECOM HALL บ่อย อาจจะเป็นเนื่องจากว่า ถ้าจัดที่ใต้หอเนี่ย จะต้องเลิกก่อน 4 ทุ่มครับ เพราะเสียงมันจะรบกวนคนอื่นๆ และแน่นอนว่าถ้าปาร์ตี้กลุ่มนี้เนี่ย ต้องนู่น ... เลยเที่ยงคืนแน่นอน

ผมเข้างานช้าหน่อย เกือบๆ สี่ทุ่มได้ และก็พกของขวัญเป็นกระเป๋าใส่เหรียญที่ให้พี่เป๊าะส่งมาให้จากไทยเป็นของที่ระลึกก่อนกลับครับ ^^" ซึ่งเขาก็ขอบคุณเป็นธรรมเนียมมาเหมือนกัน :P

พอเปลี่ยนมาจัดที่ SECOM HALL เนี่ย ... ผมมีความรู้สึกว่า คนเข้างานเยอะกว่าเดิมมากๆๆๆๆๆๆ เมื่อเทียบกับช่วงที่มาร์ตินอยู่ ... อืม ... ก็รู้สึกไปอีกแบบล่ะกัน

พอคนเยอะเนี่ย ... การดื่มของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมสังเกตพบว่า ... โดยส่วนใหญ่จะจัดการเครื่องดื่มตัวเองไม่หมด แล้วก็ไปเอามาใหม่เรื่อยๆ จนเจ้าโอม่าสบถกับผมว่า "พวกที่มาร่วมงาน ... สูบยังกะมาจากนรก" อันนี้ผมแปลเป็นไทยเอาสถภาพหน่อยๆ น่าจะได้ใจความประมาณนั้นนะ

ที่ผมทราบก็เพราะ ... ผมจะคอยเก็บกระป๋องเบียร์ และก็เอาฝาเปิดเก็บไว้ไปบริจาคที่ไทย ... กระป๋องไหนที่มีคนกินยังไม่หมด ผมก็จะไม่เอาฝาเปิดออก ... ซึ่งมันก็เกือบครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว ... ประมาณว่า เหมือนผมเป็นเทศบาลเก็บกระป๋องเบียร์และขยะในงานยังไงยังงั้น

อย่างน้อย ... ในงานนี้ ผมก็มี Jung-san ที่สนิทๆ หน่อย ... ก็เลยอยู่แต่กับกลุ่มนี้ครับ ... แหะๆ ... อีกอย่าง มีเพื่อนผู้หญิงคนนึงที่อยากรู้จักด้วย ... ตอนนี้ลืมชื่ออีกแระ ... เฮ้อ

งานนี้ ... ผมกลับพร้อม JUNG-san ประมาณตีหนึ่งกระมัง ... แต่งานก็ยังไม่เลิกนะครับ ... วู้ ... ดึกๆ กันจังเนี่ย

Wednesday, June 24, 2009

ติวเตอร์อีกนิดนึง

11/06/09

วันนี้นัดกับอาจารย์ฉัตร, พี่แม็ก, พี่จั๊บ, น้องหมี ไปว่ายน้ำกันครับ ^^" เมื่อยสุดยอดเลย

หลังจากไปว่ายน้ำเสร็จก็ไปทานข้าวที่โรงอาหารชั้นสอง ... วันนี้สั่งสเต๊กไก่ขอรับ ... อันที่จริง วันนี้ก็มีเลี้ยงส่ง Josef ซึ่งจะได้กลับบ้านแระ ... ยังจำไม่ได้เลยว่าเป็นคนชาติไหน Australia or Austria กันแน่ T_T

แต่ก่อนไปก็นัดกับน้องหมีไปช่วยดูเรื่องรายงาน database ให้ครับ ... วันนี้ดูเรื่อง Suica ครับ ... เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีของ smart card ที่เป็นบัตรเงินสดในระบบขนส่งมวลชน JR ในประเทศญี่ปุ่นครับ ... เท่าๆ ที่อ่านดู เค้าใช้เวลาในการพัฒนานานเป็นสิบๆ ปีก็ว่าได้ น่าสนใจดี

แต่ ... ระบบมันใหญ่เลยไม่รู้ว่าจะจับจุดใดเป็นประเด็นให้น้องเค้าดี ... ก็เลยแนะให้เปลี่ยนเป็น smart card เพียงอย่างเดียว ซึ่ง scope และ focus ได้ถึงประเด็นกว่า

ซึ่งน้องเค้าก็เห็นด้วย ... ก็เลยนัดกันใหม่เป็นวันเสาร์ เพื่อมาคุยกันเรื่อง smart card ครับ

เสร็จงานก็สามทุ่มกว่า ... จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ แล้วผมก็ไปปาร์ตี้ Josef ครับ

ZAMACHITA - I AM ZAM